ซาวด์มีเดีย เทรดดิ้ง จำหน่ายวิทยุสื่อสารและไฟไซเรน ปลีก-ส่ง สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ
ข้อมูลข่าวสาร

การอ่านสเป็คเครื่องวิทยุสื่อสาร

โพสเมื่อ 2013-02-04 15:12:33
พิมพ์หน้านี้
ดาวน์โหลด PDF

วิธีการเลือกซื้อวิทยุสื่อสาร การอ่านสเป็คเป็นเรื่องสำคัญทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าเครื่องรุ่นไหน จะเป็นเครื่องวิทยุสื่อสารที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด 

1. คุณสมบัติทั่วไป (General Specification)

- ช่วงความถี่ (Frequency Range) คือความถี่ที่เครื่องตัวนี้สามารถรับ – ส่งได้ บางเครื่องอาจจะมีช่วงความถี่ที่สามารถรับอย่างเดียวด้วย

- ไฟเข้า V. (Supply Voltage) คือแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงที่ทำให้เครื่องทำงาน ถ้าน้อยกว่า เครื่องจะไม่ทำงาน แต่ถ้ามากกว่านี้เครื่องจะพัง

- กินกระแส A. (Current Drain หรือ Current Consumption) คือปริมาณกระแสไฟที่เครื่องใช้ในภาครับหรือภาคส่งที่กำลังส่งต่างๆ กันขณะที่ไม่ได้ใช้ระบบประหยัดพลังงาน

- การตั้งสต็ป (Tunning Step หรือ Channel Steps) คือจังหวะในการเปลี่ยนความถี่ ที่จะกำหนดว่าต้องการให้เปลี่ยนไปทีละกี่ kHz เช่นถ้าเราตั้งสต็ป 10 และอยู่ที่ความถี่ 144.000 MHz เมื่อเราเปลี่ยนความถี่ต่อไปก็จะเป็น 144.010 MHz คือ เพิ่มทีละ 10 kHz สำหรับประเทศอื่นที่ไม่ได้กำหนดความถี่เป็นช่องตายตัว ฟังก์ชั่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องคำนึง แตะสำหรับวิทยุสมัครเล่นเมืองไทย ณ ปัจจุบัน เรากำหนด เรากำหนดให้ช่องความถี่ห่างกัน 25 kHz เช่น ช่องที่ 1 = 144.000 MHz ช่องที่ 2 = 144.025 MHz เราก็ได้ใช้แค่ Step 25 เท่านั้น แต่ยังมีสเต็ป 5 และ 12.5 ที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ส่วนสต็ปที่เหลือที่มีให้นั้นก็ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน

- ระยะห่างของการรับ-ส่งต่างความถี่ (Frequency Shift) มาตรฐานจะอยู่ที่ 600 kHz ตัวนี้เป็นการแยกความถี่รับ และส่ง Semi-Duplex โดยรับฟังที่ความถี่หนึ่ง และส่งสัญญาณออกอากาศอีกความถี่หนึ่ง ห่างกัน 600 kHz เช่น ถ้าเราตั้งความถี่ภาครับไว้ที่ 144.000 MHz เมื่อเรากดคีย์ออกอากาศ เครื่องจะเปลี่ยนไปออกอากาศที่ความถี่ 144.600 MHz โดยอัตโนมัติ โดยคู่สถานีจะต้องตั้งกลับกัน บางรุ่นจะมีคำว่า Programmable หมายความว่าสามารถตั้งให้แตกต่างไปจากนี้ได้ เช่น ตั้งที่ Frequency Shift ที่ 750 MHz ความถี่ในภาครับคือ 144.000 เมื่อกดคีย์ออกอากาศจะเป็นความถี่ 144.750 MHz ระบบนี้ไว้สำหรับใช้รีพีทเตอร์

- กว้าง สูง ลึก (mm.) และน้ำหนัก เป็นการบอกขนาดของเครื่องแต่ละรุ่น

- ชนิดของหัวสายอากาศ (Jack type) เครื่องมือถือทั่วไปจะใช้ BNC Jack  


2. คุณสมบัติภาครับ

- ความไวภาครับ (Sensitivity) คือความไวในการรับสัญญาณของเครื่องในตาราง ตัวเลขที่มีค่าน้อยที่สุด หมายความว่าความไวภาครับดีที่สุด มาตรฐานอยู่ที่ 0.16 ไมโครโวลท์

- ความสามารถในการคัดเลือกสัญญาณ (Selectivity) เป็นสิ่งที่เราต้องดูควบคู่ไปกับความไวภาครับ การที่ Selectivity ดีจะทำให้เครื่องเลือกรับเฉพาะสัญญาณที่ควรจะรับได้และกรองสัญญาณที่ไม่ต้องการออกไป (หมายถึงคลื่นรบกวนต่างๆ ) ยิ่งตัวเลขมากก็ยิ่งดี มาตรฐานอยู่ที่ 60 dB

- ความดังของเสียง (AF Output) เป็นตัวเลขระบุค่าความดังของเสียง เช่น 0.2 วัตต์ 8 โอห์ม หมายถึงถ้าใช้ลำโพงนอกต่อต้องใช้ลำโพงที่มีค่าความต้านทาน 8 โอห์ม เครื่องที่มีตัวเลขบอกค่าวัตต์มาก เสียงจะดังกว่าที่ค่าวัตต์น้อย 


3. คุณสมบัติภาคส่ง

- กำลังส่ง (Power Out Put) เครื่องมือถือได้รับอนุญาตให้ใช้ 5 วัตต์ เครื่องประจำรถ หรือประจำที่ใช้ได้ 10 วัตต์

- คลื่นข้างเคียง (Spurious Emission) คือคลื่นของแถมที่เกิดขึ้นจากเครื่องส่งของเรา ซึ่งสามารถจะไปรบกวนความถี่อื่นๆ ได้ เช่น 60 dB below Carrier (มีค่าต่ำกว่าคลื่นพาห์) โดยเฉพาะถ้าเราเปิดแบนด์ ยิ่งถ้าใช้เครื่องขยายกำลังส่ง (Booster) ยิ่งไปกันใหญ่ คลื่นสปอริอัสนี้อาจก่อให้เกิดการรบกวนกันอย่างรุนแรง

- ชนิดของไมโครโฟน (Microphone Type) เผื่ออยากทำไมค์เล่นเองจะได้ซื้อได้ถูกชนิด ส่วนมากเครื่องมือถือจะใช้คอนเดนเซอร์ไมค์